การฝึกเหยี่ยวไล่นกแบบมืออาชีพ

บทความนี้นำเสนอเรื่อง การฝึกเหยี่ยวไล่นก ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้พฤติกรรมของเหยี่ยวนักล่ามาแก้ปัญหานกรบกวนในพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน โรงงาน หรือฟาร์ม โดยอาศัยความรู้และทักษะในการฝึกเหยี่ยว (falconry) โดยการไล่นกต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง บทความจะครอบคลุมถึงความสำคัญของการไล่นก เหตุใดเหยี่ยวจึงมีบทบาทโดดเด่น คุณสมบัติของเหยี่ยวที่เหมาะสม (โดยเฉพาะ เหยี่ยวแฮริส), ขั้นตอนการฝึกเหยี่ยว, ทักษะที่ผู้ฝึกต้องมี, การดูแลเหยี่ยว, ข้อควรระวังในการใช้งาน

เหยี่ยวไล่นกในโรงงาน
การใช้เหยี่ยวไล่นกในโรงงานเป็นวิธีกำจัดนกพิราบที่ดีที่สุด

ปัญหานกศัตรูหรือสัตว์รบกวน (เช่น นกพิราบ นกกระจอก นกนางนวล ฯลฯ) เป็นเรื่องใหญ่ในหลายพื้นที่ การรวมตัวของนกเหล่านี้อาจนำมาซึ่งความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การไล่นกหรือควบคุมประชากรนกในพื้นที่สำคัญจึงเป็นสิ่งจำเป็น ในส่วนนี้เราจะพิจารณาความสำคัญของการไล่นกในบริบทของ สนามบิน, โรงงานและโกดัง, และ ฟาร์มเกษตรกรรม ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีเหตุผลของตนเองในการต้องควบคุมนกอย่างมีประสิทธิภาพ

สนามบิน

สนามบินเป็นพื้นที่ที่ความปลอดภัยต้องมาก่อน การปรากฏตัวของนกในเขตการบินอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ กรณีเครื่องบินชนกับนกหรือที่เรียกว่า “bird strike” สามารถสร้างความเสียหายต่อเครื่องบินและอาจเป็นอันตรายต่อผู้โดยสารและลูกเรือได้ ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง เช่น เครื่องบินต้องลงจอดฉุกเฉินจากการสูญเสียเครื่องยนต์เพราะชนนก หรือกรณีที่เลวร้ายกว่านั้นคืออุบัติเหตุทางการบินที่มีสาเหตุมาจากนกบินเข้าสู่เครื่องยนต์ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงนี้ สนามบินทั่วโลกจึงมีมาตรการควบคุมนกหลายรูปแบบ รวมถึงการใช้เหยี่ยวบินตรวจการณ์เพื่อไล่นกซึ่งถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าวิธีที่รุนแรงหรือรบกวนธรรมชาติแบบอื่นการใช้เหยี่ยวช่วยลดความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการเช่นการยิง การใช้เสียงประทัด หรือสารเคมี ซึ่งอาจก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตอื่น

โรงงานและโกดัง

พื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าเป็นอีกบริบทหนึ่งที่การไล่นกมีความสำคัญมาก นกรบกวน โดยเฉพาะ นกพิราบ มักก่อความเสียหายและเสี่ยงต่อสุขอนามัยในสถานที่ผลิตหรือเก็บรักษาสินค้า ตัวอย่างเช่น ในโรงผลิตสินค้าหรือโกดังเก็บสินค้า นกพิราบที่เข้ามาอาศัยสามารถทำลายผลิตภัณฑ์ สร้างความเสียหายต่อสินค้า และเป็นพาหะนำโรคติดต่อได้ นกและมูลนกสามารถปนเปื้อนกระบวนการผลิตอาหาร ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอาหาร อีกทั้งการทำความสะอาดมูลนกที่สะสมก็เป็นภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

การนำเหยี่ยวมาไล่นกในโรงงานหรือโกดังขนาดใหญ่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากวิธีการอื่น ๆ เช่น การติดตาข่ายกันนก การใช้เสียงดัง หรือหุ่นไล่นกมักไม่ได้ผลในระยะยาว นกอาจจะค่อย ๆ เคยชินกับเครื่องไล่นกเหล่านั้นและกลับมาใหม่ แต่เมื่อมีเหยี่ยวบินลาดตระเวน นกจะไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมของนักล่าได้และเกิดความกลัวโดยสัญชาตญาณ ทำให้ การใช้เหยี่ยวเป็นวิธีที่ได้ผลในระยะยาวกว่าวิธีการไล่นกแบบอื่น ซึ่งนกมักปรับตัวเรียนรู้ได้​ยิ่งไปกว่านั้น เหยี่ยวยังสามารถบินเข้าไปในพื้นที่ที่การเข้าถึงยาก เช่น หลังคาโรงงานหรือมุมสูงของโกดัง โดยเฉพาะเหยี่ยวปีกสั้น เช่น เหยี่ยวแฮริสตัวผู้ ซึ่งตัวไม่ใหญ่ สามารถบินไล่นกเล็กๆ ภายในอาคารหรือโรงเก็บเครื่องบินได้ด้วย​

การใช้เหยี่ยวไล่นกในโรงงาน

นอกจากประสิทธิภาพในการไล่นกแล้ว การใช้เหยี่ยวยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมให้แก่องค์กรหรือโรงงาน เพราะเป็นการควบคุมศัตรูโดยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี

ฟาร์มและพื้นที่เกษตรกรรม

ในภาคการเกษตร นกศัตรูพืชสามารถสร้างความเสียหายอย่างมากต่อผลผลิตของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นนกขนาดเล็กที่จิกกินเมล็ดพันธุ์พืชหรือต้นกล้าในไร่นา ไปจนถึงนกฝูงใหญ่ที่ลงกินผลไม้หรือธัญพืชในไร่สวน เช่น นกกระจอก นกเอี้ยง ที่อาจกัดกินข้าวโพดหรือข้าวในนา หรือนกนางนวลและเป็ดป่าที่ลงมาหากินในนาข้าวและบ่อเลี้ยงปลา หากไม่มีการควบคุม ประเมินกันว่าความเสียหายที่นกก่อขึ้นในภาคเกษตรสามารถคิดเป็นมูลค่าหลายล้านบาทต่อปีสำหรับฟาร์มขนาดใหญ่บางแห่ง เกษตรกรจึงสรรหาวิธีป้องกันนก เช่น การติดหุ่นไล่นก การใช้เสียงดัง (ประทัดหรือปืนลม) การใช้แผ่นสะท้อนแสง ตลอดจนการใช้ตาข่ายคลุมพืชผล แต่หลายวิธีมีข้อเสีย เช่น ต้นทุนสูง, ก่อมลพิษ (เสียงหรือขยะจากประทัด/พลุ), หรือประสิทธิภาพลดลงเมื่อนกปรับตัวได้

การใช้เหยี่ยวในฟาร์มเกษตร โดยเฉพาะฟาร์มอินทรีย์ (organic farm) กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น เพราะเป็นวิธีธรรมชาติสอดคล้องกับแนวคิดการเกษตรยั่งยืน ตัวอย่างเช่น ฟาร์มผักอินทรีย์ Duncan Family Farms ในรัฐแอริโซนาของสหรัฐฯ ได้ว่าจ้างทีมเหยี่ยวจากบริษัท Falcon Force มาปฏิบัติการไล่นกแทนการใช้วิธีเดิมอย่างประทัดหรือเครื่องไล่นกแบบเก่า ซึ่งฟาร์มพบว่าวิธีเหยี่ยวนี้ได้ผลกว่าและลดผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมลงอย่างมากหยี่ยวที่บินโฉบอยู่เหนือแปลงเพาะปลูกจะทำให้นกเล็กนกใหญ่ตกใจหนีไปหาที่หากินอื่น เมื่อใดที่นกศัตรูเห็นนักล่าตามธรรมชาติบินวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ มันก็มักจะรีบหนีไปหาที่ปลอดภัยกว่าด้วยเหตุนี้ นกที่เคยคุ้นชินกับวิธีไล่แบบเก่า ๆ (เช่น เสียงคนไล่หรือเสียงประทัด) ซึ่งอาจกลับมาใหม่หลังเสียงเงียบไป จะไม่กล้าอยู่ในพื้นที่ที่มีเหยี่ยวเลย นอกจากนี้การใช้เหยี่ยวยังมีข้อดีเพิ่มเติม เช่น เหยี่ยวหนึ่งตัวสามารถลาดตระเวนพื้นที่การเกษตรกว้างใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความจำเป็นที่คนงานจะต้องเดินไล่นกเองซึ่งทั้งไม่ทั่วถึงและอาจเสี่ยงอันตราย (เช่น การเดินในแปลงเกษตรที่เปียกลื่นหรือมีสัตว์มีพิษ)

Duncan Family Farms employs falcons as bird abatement

เหยี่ยวที่เหมาะสำหรับการฝึกไล่นก

ไม่ใช่นกนักล่าทุกชนิดจะเหมาะกับการนำมาฝึกเพื่อไล่นก ในทางปฏิบัติ มนุษย์เลือกสายพันธุ์เหยี่ยวหรือนกนักล่าที่มีนิสัยและคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้ คุณสมบัติทั่วไปที่มองหา ได้แก่ ความฉลาดและสามารถเรียนรู้คำสั่ง, ความเชื่องและไม่ดุร้ายเกินไปกับผู้ฝึก, ขนาดตัวที่เหมาะสมกับพื้นที่ปฏิบัติงาน (ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป), ความทรหดและสุขภาพแข็งแรงบินได้นาน, และนิสัยการล่าที่สอดคล้องกับประเภทของนกเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น หากต้องการไล่นกน้ำขนาดใหญ่ในแหล่งน้ำ อาจพิจารณาใช้Harris hawk ตัวเมีย แต่หากไล่นกเล็กในโกดัง การใช้เหยี่ยวขนาดเล็กที่ว่องไวจะเหมาะกว่า ในบรรดาเหยี่ยวนักล่ายอดนิยม เหยี่ยวแฮริส (Harris’s Hawk, ชื่อวิทยาศาสตร์ Parabuteo unicinctus) ถือเป็นสายพันธุ์ที่โดดเด่นและถูกใช้อย่างแพร่หลายในการไล่นก เหยี่ยวแฮร์ริสมีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกา (ตั้งแต่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ลงไปถึงอเมริกาใต้) แต่ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงและฝึกในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่มีการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์มาจากต่างประเทศเพื่อเพาะขยายจำนวนสำหรับงานไล่นกโดยเฉพาะ

เหยี่ยวแฮริส

เหยี่ยวแฮริสที่เพาะพันธุ์โดย

บริษัท การ์ดฮอว์ค เบิร์ดคอนโทรล จำกัด

การฝึกเหยี่ยว (Falconry) เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่มีประวัติยาวนานนับพันปี ในอดีตมนุษย์ฝึกเหยี่ยวเพื่อการล่าสัตว์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการปรับวิธีการฝึกเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ เช่น การกีฬา การแสดง และการไล่นกศัตรู สำหรับงานไล่นกโดยเฉพาะ การฝึกเหยี่ยวจะเน้นให้เหยี่ยวเชื่อฟังคำสั่ง กลับมาหาผู้ฝึกเมื่อถูกเรียก และเรียนรู้ที่จะลาดตระเวนไล่นกเป้าหมายโดยไม่หนีหายไปหรือไม่หมกมุ่นกับการล่าเหยื่อผิดประเภท กระบวนการฝึกสามารถแบ่งออกได้เป็นขั้นตอนหลัก ๆ ตั้งแต่การปรับพฤติกรรมพื้นฐานไปจนถึงการทดลองปฏิบัติงานจริงดังนี้

การสร้างความคุ้นเคยและความเชื่อใจ (Manning)

ขั้นตอนแรกสุดในการฝึกเหยี่ยวคือ การสร้างความคุ้นเคย (manning) ระหว่างเหยี่ยวกับผู้ฝึก ในช่วงแรกเหยี่ยวมักระแวงและกลัวมนุษย์ ผู้ฝึกจะต้องค่อย ๆ ทำให้เหยี่ยวคุ้นกับการอยู่บนถุงมือหนัง (ที่ให้เหยี่ยวเกาะ), คุ้นกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ฮูดคลุมหัว, ชุดล่าม, กระดิ่ง และสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น กรง, คอนที่เกาะ, เสียงนกหวีด, และการเคลื่อนไหวของผู้คน การให้เหยี่ยวยืนบนมือหรือบนคอนอย่างสงบโดยไม่ดิ้นหนี ถือเป็นเป้าหมายแรก ๆ ในขั้นแมนนิ่งนี้ ผู้ฝึกจะใช้ความอดทนสูง ใช้เวลาค่อยๆสร้างความคุ้นชิน จนกว่านกจะไม่โดดหนีและยอมยืนนิ่งๆเวลาอยู่ใกล้ๆผู้ฝึก ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาประมาณ2-3 สัปดาห์

การฝึกการบินและการตอบสนองต่อสัญญาณ (Recall Training)

ขั้นตอนต่อมา คือ การฝึกบินตามสัญญาณเรียก เป้าหมายคือให้เหยี่ยวรู้จักกลับมาหาผู้ฝึกทุกครั้งเมื่อถูกเรียกหรือส่งสัญญาณ (เช่น นกหวีด) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญมาก เพราะหากเหยี่ยวไม่ยอมกลับมา เหยี่ยวก็มีโอกาสหลุดจากการควบคุมได้ ผู้ฝึกจะเริ่มด้วยการผูกเชือกยาว (creance) กับเหยี่ยวเพื่อป้องกันไม่ให้มันบินหนีไปไกลเกินไป จากนั้นฝึกให้เหยี่ยวกระพือปีกขยับจากคอนที่ยืนมาบนถุงมือของผู้ฝึกในระยะใกล้ โดยมีรางวัลเป็นอาหารเมื่อมันทำสำเร็จ เมื่อเหยี่ยวเริ่มเข้าใจและยอมบินมาหาของกินตามที่ผู้ฝึกกำหนด จึงค่อย ๆ เพิ่มระยะห่างออกไปเรื่อย ๆ

เมื่อการฝึกจากการผูกเชือกยาวเป็นไปด้วยดี ขั้นต่อไปคือ การปล่อยบินอิสระ (free flight) ซึ่งเป็นช่วงทดสอบความพร้อมจริง ผู้ฝึกจะปลดเชือกออกและปล่อยเหยี่ยวบินอย่างอิสระในพื้นที่โล่ง เมื่อมันออกบินแล้วก็จะเรียกกลับด้วยสัญญาณที่ฝึกไว้ หากเหยี่ยวกลับมาหาตามสัญญาณและลงเกาะถุงมือผู้ฝึกโดยดี ก็ถือว่าผ่านหลักสูตรพื้นฐาน ตอนนี้เหยี่ยวได้เรียนรู้ว่า “บินวนเล่นได้ แต่สุดท้ายต้องกลับมาหามนุษย์เพราะมีอาหารรออยู่”

การฝึกในสภาพแวดล้อมจริงและการปฏิบัติงาน

หลังจากเหยี่ยวเชื่องและเชื่อฟังคำสั่งพื้นฐาน ผู้ฝึกจะเริ่มฝึกในบริบทที่ใกล้เคียงกับงานจริง ผู้ฝึกอาจเริ่มด้วยการให้เหยี่ยวเห็นนกเป้าหมายจากระยะใกล้ โดยผูกนกเป้าหมายซึ่งในที่นี้มักเป็น นกพิราบปลอม(lure) ที่ผูกอาหารของเหยี่ยวไว้ แล้วปล่อยเหยี่ยวให้บินไปจับพิราบปลอมและกินอาหาร โดยเพิ่มระยะทางขึ้นเรื่อยๆ จนผู้ฝึกมั่นใจว่า เหยี่ยวของเราเข้าใจแล้วว่า พิราบเป็นเหยื่อ

เมื่อมั่นใจแล้วจึงปล่อยให้เหยี่ยวลองบินไล่นกเป้าหมายจริง ๆ โดยมีผู้ฝึกคอยควบคุมอยู่ใกล้ ๆ หากเหยี่ยวบินไล่นกกลุ่มนั้นจนแตกฝูงไปแล้วและยอมกลับมาตามเสียงเรียกก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ในระหว่างนี้ ผู้ฝึกต้องคอยสังเกตว่าเหยี่ยวมีพฤติกรรมรุนแรงเกินไปหรือไม่ เช่น ไล่จนทันแล้วฆ่านกเป้าหมายหรือเริ่มกินเหยื่อเอง หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ผู้ฝึกต้องรีบเข้าไปจัดการ เปลี่ยนความสนใจของเหยี่ยวมาที่อาหารรางวัลที่เตรียมไว้ และเก็บเหยื่อออก วิธีนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เหยี่ยวคิดว่ามันสามารถหาอาหารกินเองจากการล่า (เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นครั้งต่อ ๆ ไปมันอาจไม่กลับมาหาผู้ฝึกทันที) การฝึกในสภาพจริงนี้จะทำหลายครั้งจนแน่ใจว่าเหยี่ยวสามารถควบคุมตัวเองและปฏิบัติตามคำสั่งได้ท่ามกลางสิ่งล่อใจอย่างนกศัตรูบินอยู่ตรงหน้า

การปฏิบัติงานจริง หมายถึงการนำเหยี่ยวที่ผ่านการฝึกทั้งหมดไปใช้งานตามสถานที่เป้าหมาย เช่น สนามบินจริง พื้นที่โรงงาน หรือฟาร์ม ภายใต้สถานการณ์จริงที่มีปัจจัยแทรกซ้อนต่าง ๆ ผู้ฝึกเหยี่ยวและทีมงานจะต้องกำหนดแผนการบินลาดตระเวนของเหยี่ยว เช่น ช่วงเวลาใดบ้างที่ปล่อยเหยี่ยวบิน ความถี่ในการบิน และพื้นที่ที่ต้องครอบคลุม มักมีการแบ่งเวลาการทำงานของเหยี่ยวเป็นช่วง ๆ เพื่อไม่ให้นกศัตรูจับทางได้ (เช่น บางครั้งบินช่วงเช้า วันถัดไปบินช่วงเย็น) ให้พวกนกเข้าใจว่ามีเหยี่ยวอยู่ตลอดเวลาทั้งวัน​ นขั้นปฏิบัติงานจริงนี้ยังรวมถึงการรับมือสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ถ้าเหยี่ยวไม่ยอมกลับมาตามเวลา ทีมงานต้องมีเครื่องมืออย่าง เครื่องส่งสัญญาณวิทยุติดตามตัว (telemetry) เพื่อตามหาเหยี่ยว โดยเหยี่ยวฝึกมักติดเครื่องส่งสัญญาณวิทยุหรือ GPS ตัวเล็ก ๆ ที่ขาไว้เสมอ เผื่อกรณีบินหายไปจะได้ตามสัญญาณเจอ

กล่าวโดยสรุป กระบวนการฝึกเหยี่ยวไล่นกเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนกับเหยี่ยว → ฝึกให้เหยี่ยวรู้จักกลับมาหาคนตามคำสั่ง → ฝึกให้เหยี่ยวทำหน้าที่ไล่นกภายใต้การควบคุม → ทดสอบภาคสนามจริง ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยเวลา ความอดทน และความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะทำได้สำเร็จง่าย ๆ