
นักล่าเหยี่ยวกำลังโชว์นกอินทรีทองคู่ใจในเทศกาล “อีเกิลเฟสติวัล” ที่มองโกเลีย สะท้อนวัฒนธรรมการล่าสัตว์ด้วยนกล่าเหยื่อที่มีรากลึกในเอเชียกลางและตะวันออกตั้งแต่โบราณ
1.ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของการใช้เหยี่ยวไล่นกในแต่ละภูมิภาค

หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี – การฝึกนกล่าเหยื่อ (หรือที่เรียกรวมว่า การล่าเหยี่ยว, falconry) มีประวัติยาวนานกว่า 4,000 ปี แต่อาจเริ่มขึ้นก่อนมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยซ้ำ นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่ากิจกรรมนี้ถือกำเนิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียกลางและที่ราบสูงอิหร่าน แล้วเผยแพร่ไปยังดินแดนอื่นผ่านเส้นทางสายไหมและการค้าระหว่างชนชาติต่าง ๆหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดคือเศษภาชนะดินเผายุคโบราณ (ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) จากแหล่งโบราณคดี นอกจากนี้ยังพบภาพแกะสลักหินของนักล่าเหยี่ยวสมัยโบราณ (ราว 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ในเทือกเขาอัลไตของมองโกเลียและจีนตะวันตก ภายในช่วงต้นยุคกลาง การล่าเหยี่ยวได้แพร่หลายไปยังหลายส่วนของโลก ดังปรากฏภาพจิตรกรรมฝาผนังในสุสานจีนสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907) ที่บรรยายฉากการล่าเหยี่ยวอย่างชัดเจน
เราสามารถอธิบายต้นกำเนิดการฝึกนกล่าเหยื่อตามภูมิภาคที่สำคัญ ได้แก่ จีนและเอเชียตะวันออก, ตะวันออกกลางและเอเชียกลาง, และ ยุโรป ซึ่งแต่ละแห่งมีวิวัฒนาการการล่าเหยี่ยวตามบริบททางวัฒนธรรมของตน
จีนและเอเชียตะวันออก

ในภูมิภาคจีน การล่าเหยี่ยวมีหลักฐานเก่าแก่และพัฒนาสูงมากในยุคโบราณ บันทึกโบราณของจีนระบุว่ามีการฝึกเหยี่ยวไว้ล่าสัตว์มาตั้งแต่ก่อน 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยในยุคราชวงศ์โจวตอนปลาย (รัฐฉู่) ราวศตวรรษที่ 8–7 ก่อนคริสต์ศักราช ชนชั้นปกครองได้นำเหยี่ยว อินทรี และนกจำพวกเหยี่ยวนกเขามาใช้งานล่าสัตว์อย่างเป็นระบบ ซึ่งเทคนิคหลายอย่างคล้ายคลึงกับที่ใช้ในปัจจุบัน ารล่าเหยี่ยวเป็นที่นิยมทั้งในราชสำนักและสามัญชนเรื่อยมาตลอดประวัติศาสตร์จีน โดยได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิและชนชั้นสูงหลายยุคสมัย จนกระทั่งเข้าสู่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่ราชวงศ์ชิงล่มสลาย (ค.ศ. 1912) การอุปถัมภ์จากชนชั้นสูงก็ลดลง นอกจากนี้สงครามและความขัดแย้งภายในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ส่งผลให้ธรรมเนียมการล่าเหยี่ยวในจีนเสื่อมถอยลงอย่างมาก


สำหรับญี่ปุ่นและคาบสมุทรเกาหลี การล่าเหยี่ยวเชื่อว่าถูกนำเข้ามาจากจีนหรือแผ่นดินใหญ่เอเชีย ในเกาหลีมีบันทึกว่าการล่าเหยี่ยวเริ่มแพร่หลายประมาณปี 220 ก่อนคริสต์ศักราช จากนั้นญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลนี้ในภายหลังอีกหลายศตวรรษต่อมาโดยในญี่ปุ่นมีศัพท์เฉพาะคือ “ทาคา҄งาริ” (Takagari) ที่หมายถึงการล่าเหยี่ยว และกลายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นซามูไรและโชกุนอย่างมากในยุคกลางของญี่ปุ่น. จนปัจจุบันญี่ปุ่นยังคงรักษาประเพณีล่าเหยี่ยวไว้และถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ มีการผสมผสานเทคนิคสมัยใหม่เข้ากับวิธีดั้งเดิมในการฝึกเหยี่ยวและนกล่าเหยื่ออื่น ๆ
ทาคา҄งาริ:
🌿 มีรากฐานลึกซึ้งในวัฒนธรรม ซามูไร และ ชนชั้นสูงญี่ปุ่น
🏯 ใช้ฝึกจิตใจและวินัยนักรบ เน้น ความสงบนิ่ง, ความแม่นยำ, และ ความเคารพธรรมชาติ
📜 เป็นกิจกรรมที่นิยมในยุค เฮอัน และ เอโดะ โดยเฉพาะในหมู่โชกุนและขุนนาง
🎎 ปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์ในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดไซตามะ (มีการจัดแสดง Takagari แบบสาธิตในงานเทศกาลวัฒนธรรม)
ตะวันออกกลางและเอเชียกลาง
ภูมิภาคตะวันออกกลางถือเป็นแหล่งบ่มเพาะศิลปะการล่าเหยี่ยวที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าการล่าเหยี่ยวอาจมีต้นกำเนิดจากกลุ่มชนเร่ร่อนในเอเชียกลางราว 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยเหล่านักล่าสัตว์ในทุ่งหญ้าสเตปป์ค่อย ๆ เรียนรู้วิธีจับและฝึกนกล่าเหยื่อมาใช้ช่วยล่าสัตว์ มีหลักฐานว่าในจักรวรรดิเปอร์เซียและดินแดนเมโสโปเตเมียโบราณ กิจกรรมนี้ได้รับความนิยมหลายพันปีก่อนยุคประวัติศาสตร์ เช่น มหากาพย์กิลกาเมช จากเมโสโปเตเมียก็มีการกล่าวถึงนกล่าเหยื่อคู่มนุษย์ (แม้ว่าจะยังถกเถียงกันว่าหมายถึงการล่าเหยี่ยวจริงหรือไม่)ภายหลัง การล่าเหยี่ยวแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคอาหรับ-มุสลิม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตทั้งในยามล่าสัตว์เพื่อยังชีพและยามเล่นกีฬา. นักรบชาวเตอร์กิกในเอเชียกลางช่วงศตวรรษที่ 8 มีความเชื่อเกี่ยวกับนกล่าเหยื่อในเชิงจิตวิญญาณ เช่น เมื่อเสียชีวิตในสนามรบวิญญาณจะกลายร่างเป็นเหยี่ยว gyrfalcon เพื่อโผบินสู่วัลฮัลลา เป็นต้น
วัฒนธรรมการล่าเหยี่ยวของอาหรับนั้นเข้มแข็งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาบสมุทรอาหรับที่สภาพภูมิประเทศเป็นทะเลทราย การใช้เหยี่ยวล่าสัตว์เล็กเช่นกระต่ายหรือล่านกเพื่อเป็นอาหารเป็นวิธีการยังชีพของชุมชนเร่ร่อนมาช้านาน เมื่อกาลเวลาผ่านไป กิจกรรมนี้ได้พัฒนาเป็นกีฬายามว่างของชีคและสุลต่าน ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะและความสามารถ. ปัจจุบันประเทศในตะวันออกกลางหลายประเทศยังคงสืบทอดประเพณีนี้ และยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน“การล่าเหยี่ยว”ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Cultural Heritage) ในหลายชาติอาหรับและยุโรปตั้งแต่ปี ค.ศ.2012

นอกจากนี้ เอเชียกลางและชนเผ่ามองโกลก็มีธรรมเนียมการล่าเหยี่ยวและนกล่าเหยื่อใหญ่ เช่น นกอินทรีทอง มาแต่โบราณเช่นกัน บันทึกของชาวมองโกลกล่าวถึงตำนานว่า โบดนฉาร์ บรรพบุรุษของเจงกิสข่านสามารถจับลูกเหยี่ยวมาเลี้ยงจนเชื่องและล่าสัตว์เพื่อความอยู่รอด จนกลายเป็นขนบประเพณีของเผ่าตนจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งมองโกล เช่น เจงกิสข่าน และทายาท มักนำเหยี่ยวและอินทรีติดตัวไปในระหว่างการศึกสงคราม เพื่อใช้ล่าสัตว์หาอาหารเลี้ยงกองทัพในยามพักรบ และบันทึกหนึ่งยังระบุว่าเจงกิสข่านเคยใช้กลอุบาย ปลอมขบวนทัพเป็นคณะออกล่าเหยี่ยว เพื่อหลอกล่อศัตรูไม่ให้ระแวงด้วย กล่าวได้ว่าการล่าเหยี่ยวในฐานะทั้งเครื่องมือยังชีพและกีฬาของชนชั้นปกครองนั้นหยั่งรากลึกทั่วภูมิภาคเอเชียกลาง-ตะวันออกกลาง และเป็นช่องทางหนึ่งของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตกในยุคโบราณ (เช่น มีธรรมเนียมมอบนกล่าเหยื่อเป็นของกำนัลทางการทูตระหว่างราชวงศ์หรือหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ด้วย)
ยุโรป

ในยุโรป การล่าเหยี่ยวได้รับการแนะนำโดยนักรบและพ่อค้าจากเอเชียกลางราวปลายยุคโรมันต่อยุคกลาง (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5–7)หลักฐานเก่าแก่เช่น ภาพแกะสลักงาช้างจากยุคไบแซนไทน์ (ศตวรรษที่ 9) และบันทึกในยุโรปยุคต้นล้วนบ่งชี้ว่าศิลปะการฝึกเหยี่ยวแพร่เข้ามายังยุโรปผ่านทางฝรั่งเศสตอนใต้ สเปน และคาบสมุทรบอลข่าน ก่อนจะกระจายสู่ยุโรปตอนเหนือ. ภายในคริสต์ศตวรรษที่ 12–13 การล่าเหยี่ยวกลายเป็น “กีฬาของราชาและขุนนาง” โดยได้รับความนิยมอย่างยิ่งในหมู่ชนชั้นสูงยุคกลางของยุโรป ถือเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะและศักดิ์ศรีของผู้ครอบครองมีบันทึกว่ากษัตริย์และขุนนางยุโรปในสมัยนั้นแบ่งระดับของนกล่าเหยื่อที่สามารถครอบครองตามยศศักดิ์ เช่น จักรพรรดินิยมครอบครอง เหยี่ยวgyrfalcon ซึ่งหายากและดุร้าย ส่วนอัศวินมักใช้ เหยี่ยวเพเรกริน เป็นต้น ซึ่งธรรมเนียมนี้ถูกบันทึกไว้ในตำราอังกฤษโบราณ The Boke of St. Albans (ค.ศ.1486). นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันความสำคัญของการล่าเหยี่ยวในยุโรป เช่น การค้นพบประติมากรรมไม้แกะสลักรูปนักล่าเหยี่ยวสวมมงกุฎ (คาดว่าเป็นกษัตริย์ฮาคอนที่ 4 แห่งนอร์เวย์) ซึ่งมีอายุราวคริสต์ศตวรรษที่ 1
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ก็ยังคงความนิยมของกีฬาล่าเหยี่ยว โดยมีการศึกษาวิชาการเกี่ยวกับนกล่าเหยื่ออย่างจริงจังในราชสำนักยุโรป เช่น จักรพรรดิ ฟรีดริชที่ 2 แห่งโฮเฮนสเตาเฟน ทรงรวบรวมความรู้จากนักล่าเหยี่ยวชาวอาหรับและยุโรป แล้วเรียบเรียงเป็นตำราวิชาการ De Arte Venandi cum Avibus (“ว่าด้วยศิลปะแห่งการล่าด้วยนก”) ในปี ค.ศ.1240 ซึ่งนับเป็นหนังสือคู่มือการล่าเหยี่ยวที่ครอบคลุมและมีระบบที่สุดเล่มแรกของยุโรปอย่างไรก็ตาม เมื่ออาวุธปืนพัฒนาขึ้นในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17–18 ความจำเป็นในการใช้เหยี่ยวล่าสัตว์ก็ลดลงอย่างมาก ทำให้ธรรมเนียมนี้ซบเซาลงและกลายเป็นกิจกรรมสันทนาการเฉพาะกลุ่มแทน กระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่ 20 จึงเกิดการฟื้นฟูความนิยมของการล่าเหยี่ยวอีกครั้งในยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะในรูปแบบการจัดแสดงนกนักล่า (falconry display) ตามงานเทศกาลและการอนุรักษ์สายพันธุ์นกล่าเหยื่อต่าง ๆ

2.การใช้เหยี่ยวในยุคโบราณ: บริบททางสังคม การทหาร และการล่าสัตว์
ในฐานะเครื่องมือยังชีพและการล่าสัตว์ – แต่โบราณมา จุดประสงค์พื้นฐานของการฝึกเหยี่ยวคือเพื่อช่วยมนุษย์ล่าสัตว์สำหรับเป็นอาหารและยังชีพในยามที่ยังไม่มีอาวุธปืนหรือกับดักที่มีประสิทธิภาพ. นักล่าในยุคโบราณต้องพึ่งพาสุนัขล่าสัตว์และเหยี่ยวที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีในการจับสัตว์อาหาร เช่น นกเป็ดน้ำ กระต่าย หรือสัตว์ขนาดเล็กอื่น ๆวิธีการนี้เพิ่มโอกาสในการล่าได้สำเร็จและช่วยประหยัดแรงมนุษย์ เพราะนกล่าเหยื่อสามารถโฉบจับเหยื่อบนฟ้าได้ว่องไวกว่าเครื่องมือใด ๆ ที่มนุษย์มีในยุคนั้น. นอกจากนี้ ในบางวัฒนธรรมยังมีการฝึกเหยี่ยวเพื่อปกป้องพืชผลทางการเกษตรจากนกศัตรูพืชด้วย (เช่น ในญี่ปุ่นโบราณมีการใช้เหยี่ยวไล่นกอีกาไม่ให้มากินข้าวในนา)ซึ่งนับเป็นภูมิปัญญาในการควบคุมนกศัตรูพืชที่มีมาตั้งแต่อดีต

บริบททางสังคมและชนชั้น – นอกเหนือจากประโยชน์เชิงยังชีพแล้ว การล่าเหยี่ยวยังพัฒนากลายเป็นกิจกรรมสันทนาการและสถานะทางสังคมในหลายอารยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ชนชั้นสูง. ในจีนยุคโบราณ เหยี่ยวล่าเหยื่อถูกมอบเป็นเครื่องราชบรรณาการระหว่างแคว้นหรือเป็นของกำนัลล้ำค่าสำหรับจักรพรรดิ. ในตะวันออกกลางและยุโรปยุคกลาง การครอบครองนกล่าเหยื่อหายากและฝึกฝนมาอย่างดีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและบารมี ผู้มีตระกูลมักอวดเหยี่ยวคู่ใจของตนในงานล่าสัตว์หรืองานพิธีต่าง ๆบทกวี เพลง และงานศิลปะยุคกลางจำนวนมากกล่าวถึงภาพนักล่าเหยี่ยวคู่กับหญิงคนรัก ซึ่งสะท้อนคตินิยมโรแมนติกในชนชั้นสูงขณะนั้น (ตัวอย่างเช่น ภาพวาดใน Codex Manesse ที่นักกวีเยอรมันถือเหยี่ยวอยู่ในอ้อมแขนหญิงคนรัก)นอกจากนี้ ธรรมเนียมปฏิบัติมากมายในแวดวงการล่าเหยี่ยว (เช่น การแต่งกาย เครื่องประดับ การฝึกมารยาท) ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมราชสำนักและอัศวินตะวันตกสืบมา โดยถูกบันทึกและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น. Falconry จึงไม่ได้เป็นเพียงวิธีล่าสัตว์ แต่ยังหลอมรวมเข้าเป็นวิถีชีวิต ประเพณี และพิธีกรรมในสังคมโบราณหลายแห่งจนกล่าวได้ว่าเป็น “ศิลปะ” แขนงหนึ่งที่ต้องสืบทอดการฝึกฝนกันในหมู่ผู้มีประสบการณ์
ในทางการทหารและการสื่อสาร – แม้การล่าเหยี่ยวจะดูเหมือนกิจกรรมสันทนาการ แต่ในบางยุคสมัยได้มีการนำมาใช้ประโยชน์ในทางการทหารและการสื่อสารด้วย ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ ในจีนยุคศตวรรษที่ 5 มีบันทึกว่า แม่ทัพซุนปิน ใช้เหยี่ยวที่ถูกฝึกมาเป็นพิเศษในการส่งข้อความด่วนข้ามแนวข้าศึก โดยผูกสารไว้ที่หางเหยี่ยวแล้วปล่อยบินข้ามกองทัพศัตรูไปถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารทางอากาศคล้ายกับนกพิราบสื่อสาร แต่นกเหยี่ยวมีความเร็วและพละกำลังมากกว่า). ทางด้านกุบไลข่านแห่งมองโกล นอกจากจะใช้เหยี่ยวล่าสัตว์หาอาหารดังที่กล่าวแล้ว ยังมีกลอุบายข้างต้นที่ทรงปลอมกองทัพเป็นคณะล่าเหยี่ยว เพื่อพรางตาศัตรูในบางโอกาสอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น ในยุโรปยุคกลางและญี่ปุ่นยุคศักดินา การฝึกเหยี่ยวถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกทักษะของนักรบ – อัศวินยุโรปและซามูไรญี่ปุ่นได้รับการสอนวิชาการล่าเหยี่ยว ควบคู่ไปกับวิชาขี่ม้า ยิงธนู และเพลงดาบ โดยเชื่อว่าการล่าเหยี่ยวช่วยฝึกความมีวินัย สมาธิ การวางแผนยุทธวิธี และเพิ่มพูนจิตวิญญาณนักรบให้แก่ผู้ฝึกมีบันทึกว่าตำราพิชัยสงครามของญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 16 มักมีบทหนึ่งว่าด้วยการล่าเหยี่ยว ส่วนในยุโรปเหล่าอัศวินหนุ่มจะเรียนรู้การฝึกเหยี่ยวในช่วงเป็นเหล่า Page หรือ Squire (มหาดเล็ก) ก่อนออกรบจริง เพื่อปลูกฝังความอดทนและความชำนาญในกิจการที่ละเอียดอ่อนควบคู่กับศิลปะการต่อสู้. ด้วยเหตุนี้เองจึงมีภาษิตตะวันออกกลางที่กล่าวว่า “การล่าเหยี่ยวคือพี่น้องกับสงคราม” อันสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะการฝึกนกกับวิถีการศึกในยุคโบราณ
3.การประยุกต์ใช้เหยี่ยวในยุคปัจจุบันในการควบคุมนกในพื้นที่ต่าง ๆ
การควบคุมนกศัตรูโดยใช้เหยี่ยว (Bird Abatement) – ในยุคปัจจุบัน การใช้เหยี่ยวหรือนกล่าเหยื่ออื่น ๆ เพื่อขับไล่นกที่เป็นปัญหาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ ถือเป็นวิธีการตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับการใช้สารเคมีหรือการวางยาฆ่านกโดยตรง. หลักการคือการอาศัย “สัญชาตญาณนักล่า-เหยื่อ” ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ: เมื่อนกล่าระดับสูงอย่างเหยี่ยวหรืออินทรีปรากฏตัวและโฉบบินอยู่ในพื้นที่ นกขนาดเล็กกว่าหรือสัตว์ที่เป็นเหยื่อจะตกใจและหนีออกจากบริเวณนั้นโดยอัตโนมัติงนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมนก (เรียกว่า falconer ในบริบทนี้) จะฝึกเหยี่ยวให้ออกบินลาดตระเวนพื้นที่เป้าหมายเป็นระยะ เพื่อป้องกันไม่ให้นกศัตรูพืชเข้ามาก่อความเสียหาย หรือหากมีก็จะไล่ให้ออกไป. วิธีนี้สามารถลดจำนวนเหตุการณ์ความเสียหายที่เกิดจากนกได้อย่างมาก ซึ่งรายละเอียดเรื่อง การประยุกต์ใช้เหยี่ยวในยุคปัจจุบันในการควบคุมนกในพื้นที่ต่าง ๆ ขออนุญาติเขียนเป็นบทความแยกออกไปอีก 1 หัวข้อ
จะเห็นได้ว่าการใช้เหยี่ยวไล่นกได้เดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน จากจุดเริ่มต้นในฐานะเครื่องมือการล่าสัตว์ของมนุษย์ยุคโบราณ สู่กีฬาของชนชั้นสูงในสังคมยุคกลาง และกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในฐานะวิธีการควบคุมนกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในโลกปัจจุบัน. ประวัติศาสตร์ของเหยี่ยวไล่นกจึงไม่เพียงสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติที่สืบทอดมาต่อเนื่องหลายพันปี แต่ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของภูมิปัญญาโบราณที่สามารถปรับใช้แก้ปัญหาสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว