ปัญหานกพิราบในประเทศไทย

บทนำ: นกพิราบเป็นสัตว์ปีกที่พบได้ชุกชุมในเขตเมืองของประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่หลายแห่ง ด้วยความเคยชินของผู้คนที่มองว่าเป็นนกเชื่องใกล้ตัว จึงมักมีคนนำอาหารมาให้นกพิราบตามวัด สวนสาธารณะ และแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนของนกพิราบกลายเป็นปัญหาหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ

ผลกระทบด้านสุขภาพและสาธารณสุข

นกพิราบถือเป็นพาหะนำโรคหลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ มูลนกพิราบมักปนเปื้อนเชื้อรา Cryptococcus neoformans ซึ่งสามารถฟุ้งกระจายเป็นละอองและถูกสูดเข้าไป ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ปอดและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำนอกจากนี้ นกพิราบยังเกี่ยวข้องกับการแพร่เชื้อแบคทีเรียและไวรัสจากสัตว์สู่คน เช่น โรคไข้สมองอักเสบ โรคทางเดินหายใจ ไข้หวัดนก และโรคซิตตาโคซิส (ไข้นกแก้ว)​ แค่การกระพือปีกของนกพิราบก็อาจฟุ้งกระจายเชื้อโรคและฝุ่นละอองจากมูลนกในอากาศซึ่งเป็นอันตรายได้

ภาครัฐได้ตระหนักถึงปัญหาด้านสาธารณสุขนี้ กรุงเทพมหานครได้ออกข้อกำหนด ห้ามให้อาหารนกพิราบในที่สาธารณะ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งผู้ฝ่าฝืนอาจมีโทษปรับสูงถึง 25,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน(ขณะเดียวกันยังมีโทษปรับตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ อีก 2,000 บาท) มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดการรวมกลุ่มของนกพิราบและความเสี่ยงโรคที่มากับนกเหล่านี้

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและโครงสร้าง

ปัญหานกพิราบยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสียหายทางกายภาพอย่างชัดเจน มูลนกพิราบมีความเป็นกรดสูงจากกรดยูริก สามารถกัดกร่อนพื้นผิววัสดุต่าง ๆ เช่น คอนกรีต หิน โลหะ ทำให้อาคารสิ่งปลูกสร้างเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติหากมีมูลนกสะสมอยู่​ อาคารบ้านเรือนต้องเผชิญคราบสกปรกและกลิ่นเหม็นจากมูลนกที่สะสมตามระเบียง หลังคา และพื้นทางเดิน สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมก็ได้รับผลกระทบ – ตัวอย่างเช่น โบราณสถานและวัดวาอารามในเชียงใหม่หรืออยุธยา ถูกคราบมูลนกพิราบทำลายความสวยงามและคุณค่าทางวัฒนธรรม​ หน่วยงานที่ดูแลต้องใช้งบประมาณและแรงงานในการทำความสะอาดและบำรุงรักษาพื้นผิวเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง

ในด้านระบบนิเวศ การกระจุกตัวของนกพิราบจำนวนมากทำให้เกิดขยะและสิ่งปนเปื้อน เช่น เศษอาหารและมูลนกที่อาจไหลลงสู่แหล่งน้ำ ส่งผลต่อคุณภาพน้ำและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ​ นกพิราบเป็นสายพันธุ์ต่างถิ่น (alien species) ที่เข้ามาแย่งชิงอาหารและถิ่นอาศัยจากนกท้องถิ่นบางชนิด จนมีรายงานว่านกกระจอกบ้านซึ่งเคยพบทั่วไปตามเมืองเริ่มลดจำนวนลงเพราะแข่งขันอาหารกับนกพิราบที่มีจำนวนมากกว่า ปัญหานกพิราบจึงเกี่ยวโยงกับความสมดุลของระบบนิเวศเมืองและความหลากหลายทางชีวภาพในระยะยาว

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความเสียหายต่อธุรกิจ

ผลกระทบจากนกพิราบก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่และนิคมอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ, ฉะเชิงเทรา, ระยอง, สระบุรี, นครราชสีมา และพระนครศรีอยุธยา ดังนี้:

ความเสียหายต่ออาคารสถานที่และเครื่องจักร: มูลนกพิราบที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสามารถทำลายพื้นผิวอาคาร สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนเครื่องจักรกลต่าง ๆ ในโรงงานอุตสาหกรรม หากปล่อยทิ้งไว้นานจะก่อสนิมและความเสียหายที่ต้องซ่อมแซมบ่อยครั้ง อาคารสำนักงาน ห้างร้าน และโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรม เช่น ในระยองหรือฉะเชิงเทรา จำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันนก (ตาข่าย, หนามแหลม เป็นต้น) และทำความสะอาดคราบมูลนกเป็นประจำ ซึ่งเพิ่มต้นทุนการบำรุงรักษาไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้ ในบางกรณีฝูงนกพิราบที่ไปเกาะตามหม้อแปลงไฟฟ้าหรือสายไฟอาจก่อให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้ไฟดับกะทันหันในโรงงาน การผลิตต้องหยุดชะงัก และเครื่องจักรเสียหาย ตามมา ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมที่มีนกพิราบชุกชุม จนสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก

ผลกระทบต่อการผลิตและความปลอดภัยในอุตสาหกรรม

โรงงานหลายแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้แหล่งอาหารของนก (เช่น โรงสีข้าวหรือโกดังเก็บธัญพืชในจังหวัดเกษตรกรรมอย่างสระบุรี หรือนครราชสีมา) มักเผชิญการบุกรุกของนกพิราบเข้าไปทำรังและถ่ายมูลในพื้นที่ผลิต มูลนกอาจตกใส่สินค้า วัตถุดิบ หรือสายพานการผลิต ทำให้สินค้าเกิดการปนเปื้อนและต้องถูกทำลาย ส่งผลให้สูญเสียผลผลิตและรายได้ทางอ้อม เจ้าของโรงงานเหล่านี้ต้องหยุดสายการผลิตเพื่อทำความสะอาด และลงทุนติดตั้งมาตรการไล่นกเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การทำงานบนที่สูงเพื่อซ่อมบำรุงหลังคาหรือเครื่องปรับอากาศที่มีคราบมูลนกเกาะอยู่ก็เพิ่มความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยในการทำงานด้วย

ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์เมือง

ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างกรุงเทพฯ (เช่น บริเวณพระบรมมหาราชวัง, สนามหลวง) หรือเมืองมรดกโลกอย่างอยุธยา นักท่องเที่ยวมักพบฝูงนกพิราบจำนวนมากตามจุดให้อาหารนก ภาพลักษณ์ของสถานที่ที่เต็มไปด้วยนกและคราบมูลส่งผลลบต่อประสบการณ์การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวบางส่วนอาจรู้สึกรำคาญหรือกังวลเรื่องความสะอาดและสุขอนามัย สถานที่ท่องเที่ยวที่สกปรกจากมูลนกย่อมทำให้ความประทับใจลดลงและอาจส่งผลต่อรายได้การท่องเที่ยวในระยะยาว ยกตัวอย่างที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบให้อาหารนกพิราบ แม้ทางการจะติดป้ายขอความร่วมมือหลายภาษาให้หลีกเลี่ยงการให้อาหาร แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเพิกเฉยต่อคำเตือนดังกล่าว ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องทำความสะอาดเศษอาหารและมูลนกปริมาณมากเป็นกิจวัตรภาระงานทำความสะอาดนี้ถือเป็นค่าใช้จ่ายแฝงที่เมืองท่องเที่ยวต้องแบกรับ

ค่าใช้จ่ายในการควบคุมและกำจัดนกพิราบ: เมืองใหญ่และนิคมอุตสาหกรรมต้องลงทุนงบประมาณในการควบคุมจำนวนประชากรนกพิราบและป้องกันไม่ให้ก่อความเสียหายเพิ่มเติม กรุงเทพมหานครได้ดำเนินโครงการจับนกพิราบในพื้นที่เสี่ยงและย้ายไปไว้ยังศูนย์กักกันสัตว์ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อลดความหนาแน่นของนกในเมือง โดยครั้งหนึ่งเคยจับนกพิราบจากบริเวณตลาดประตูน้ำได้ประมาณ 100 ตัว และส่งไปยังด่านกักกันสัตว์อยุธยาเพื่อดูแลต่อ​ แนวทางนี้ต้องใช้งบในการดัดแปลงสถานที่เลี้ยงดูและค่าอาหารนกที่จับไป อีกทั้งยังต้องทำความสะอาดพื้นที่ชุมชนหลังการจับนกอย่างทั่วถึงควบคู่กันไป นอกจากนี้ ภาคธุรกิจเองก็มีต้นทุนในการจ้างบริษัทกำจัดนก ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันนกตามอาคารโรงงาน และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคจากมูลนกเป็นระยะ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วคิดเป็นค่าใช้จ่ายปีละหลายล้านบาทสำหรับบางองค์กร

ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับงบประมาณที่หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยใช้ในการป้องกันและกำจัดนกพิราบ อย่างไรก็ตาม ​มีรายงานจากต่างประเทศที่แสดงถึงงบประมาณและค่าใช้จ่ายในการจัดการและควบคุมนกพิราบ ดังนี้:

เมืองซัสคาทูน ประเทศแคนาดา: ในปีที่ผ่านมา เมืองซัสคาทูนต้องใช้งบประมาณประมาณ 800,000 ดอลลาร์แคนาดา (ประมาณ 20 ล้านบาท) เพื่อทำความสะอาดสะพาน Sid Buckwold ที่มีมูลนกพิราบสะสมหนักถึง 1,365,609 ปอนด์ (ประมาณ 620 ตัน) ซึ่งเป็นผลจากการสะสมมานานกว่า 50 ปี

เมืองนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ: ในปี 2023 เมืองนอตติงแฮมได้จัดสรรงบประมาณ £124,162 (ประมาณ 5.5 ล้านบาท) สำหรับการติดตั้งตาข่ายกันนกพิราบที่ลานจอดรถ Broadmarsh ซึ่งรวมถึงแผนการบำรุงรักษาเป็นเวลา 5 ปี

สรุป: ปัญหานกพิราบในประเทศไทยเป็นตัวอย่างของความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตั้งแต่สุขภาพของประชาชน ความสะอาดของเมือง ไปจนถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อธุรกิจและการท่องเที่ยว แม้นกพิราบจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเมืองใหญ่ แต่มาตรการจัดการอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ประชาชนให้หยุดให้อาหารนก การออกกฎหมายควบคุม การพัฒนาเทคนิคป้องกันนกตามอาคาร ตลอดจนการอนุรักษ์สมดุลธรรมชาติ เช่น การย้ายหรือปล่อยนกพิราบไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมกว่า การแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและบูรณาการจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกมิติ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย น่าอยู่ และยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับชุมชนเมืองไทย