วิธีไล่นก ในสนามบิน

ปัญหา นกชนเครื่องบิน (bird strike) ถือเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางการบินที่สนามบินทั่วโลกต้องเผชิญ นกที่บินเข้าสู่เครื่องยนต์หรือกระจกหน้าเครื่องบินอาจทำให้เครื่องบินเสียหายร้ายแรง ถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุ เช่น กรณีเที่ยวบินที่ต้องลงจอดฉุกเฉินบนแม่น้ำฮัดสันในปี 2009 หลังชนกับฝูงนก นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยประมาณว่าทั่วโลกเหตุการณ์นกชนเครื่องบินก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการบินราว 1.2-1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ด้วยเหตุนี้ สนามบินจึงต้องมีมาตรการ ไล่นก และควบคุมนกอย่างจริงจังเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ บทความนี้สรุปวิธีการไล่นกที่ใช้ในปัจจุบัน ทั้งการใช้เสียง การใช้สัตว์นักล่า การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี ตลอดจนการปรับสภาพแวดล้อม พร้อมยกตัวอย่างสนามบินทั้งในประเทศและต่างประเทศที่นำวิธีเหล่านี้ไปใช้ และสรุปข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีอย่างชัดเจน

การใช้เสียงในการไล่นก

หนึ่งในวิธีที่ใช้แพร่หลายคือการใช้ เสียงดัง เพื่อขับไล่นก เนื่องจากเสียงที่ดังและไม่คุ้นเคยจะทำให้นกตกใจและบินหนีออกจากพื้นที่สนามบิน วิธีการนี้อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การใช้ ปืนยิงแก๊ส (propane cannon) เพื่อให้เกิดเสียงระเบิดดังเป็นระยะ การจุด ดอกไม้ไฟหรือประทัด รวมถึงการติดตั้ง ลำโพง เพื่อเปิดเสียงต่าง ๆ ที่นกกลัว (เช่น เสียงปืนหรือเสียงร้องของนักล่าที่นกเกรงกลัว) หรือแม้กระทั่งใช้ ไซเรน จากรถยนต์ลาดตระเวนขับไล่นกโดยตรงในพื้นที่รันเวย์ ยกตัวอย่างอย่างเช่น ท่าอากาศยานชางงี สิงคโปร์ ได้ติดตั้งอุปกรณ์ส่งเสียงระยะไกลหรือ LRAD (Long Range Acoustic Device) บนรถลาดตระเวน ซึ่งสามารถกระจายเสียงได้ไกลถึง ~3 กิโลเมตร เพื่อไล่นกที่อยู่ใกล้ทางวิ่งเครื่องบิน โดยลำโพง LRAD นี้สามารถเล่นเสียงได้หลากหลายกว่า 20 แบบ ตั้งแต่เสียงปืนไปจนถึงเสียงเรียกนักล่า และจะสลับเปลี่ยนเสียงที่ใช้เป็นประจำเพื่อป้องกันนกปรับตัวชินเสียงเดิม​ สนามบินหลายแห่งในไทยเองก็ใช้วิธีนี้ เช่น มีการใช้ปืนเสียงดังและรถไซเรนไล่นกที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองเป็นต้น

ข้อดี: วิธีการไล่นกด้วยเสียงนั้นมีข้อดีคือ ครอบคลุมพื้นที่กว้างและเห็นผลทันที เมื่อส่งเสียงดัง นกส่วนใหญ่จะตกใจบินหนีโดยไม่ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนชนิดของเสียงให้เหมาะกับนกสายพันธุ์ต่าง ๆ ได้ เช่น เปิดเสียงร้องของเหยี่ยวเพื่อไล่นกขนาดเล็ก หรือเสียงปืนเพื่อไล่นกน้ำขนาดใหญ่ ทั้งนี้เทคโนโลยีใหม่อย่าง LRAD ยังช่วยให้ควบคุมทิศทางของเสียงได้แม่นยำ ลดผลกระทบต่อบริเวณโดยรอบ

ข้อเสีย: ข้อเสียของการใช้เสียงคือ นกอาจเกิดความเคยชินเมื่อเวลาผ่านไป หากได้ยินเสียงเดิมซ้ำ ๆ โดยไม่มีอันตรายจริง นกจะเริ่มเรียนรู้ว่าเสียงนั้นไม่เป็นภัยและกลับมาอาศัยพื้นที่เดิมอีก ดังที่มีรายงานว่าวิธีใช้เสียงดังเช่นปืนแก๊สช่วงแรกได้ผลดี แต่นานไปนกจะเริ่มไม่กลัวเสียงนี้แล้ว​ นอกจากนี้ เสียงดังอาจรบกวนชุมชนหรือสัตว์อื่นในบริเวณใกล้เคียงสนามบิน และการใช้งานอุปกรณ์เสียงบางชนิดต้องระวังไม่ให้ดังเกินมาตรฐานความปลอดภัยในการได้ยินของมนุษย์

การใช้สัตว์นักล่าในการควบคุมนก

สัตว์นักล่า ตามธรรมชาติของนก เช่น นกเหยี่ยว, อินทรี, เหยี่ยวนกเขา หรือสัตว์อื่นอย่าง สุนัข สามารถนำมาใช้ไล่นกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยสัญชาตญาณความกลัวนักล่าที่มีอยู่ในนกตามธรรมชาติ เมื่อมีผู้ล่าออกลาดตระเวน นกจะหลีกเลี่ยงพื้นที่นั้นเพราะเกรงว่าจะถูกล่า วิธีนี้ถือว่าเป็นการเลียนแบบวงจรธรรมชาติและมักไม่เป็นอันตรายต่อนก (เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ผู้ล่าจับนกจริง ๆ เพียงแค่ขู่ให้หนี)

การใช้นกนักล่า: สนามบินหลายแห่งทั่วโลกมีการจัดจ้างหรือฝึกเจ้าหน้าที่ที่เป็น เหยี่ยวบิน (falconer) พร้อมนกนักล่าที่ผ่านการฝึกเพื่อลาดตระเวนในเขตสนามบิน ตัวอย่างเช่น ท่าอากาศยานแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา มีทีมเจ้าหน้าที่เหยี่ยวบินที่ใช้เหยี่ยวและนกนักล่าซึ่งเพาะเลี้ยงขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อบินไล่ฝูงนกน้ำ นกเป็ด และนกอื่น ๆ ออกจากบริเวณรันเวย์ ป้องกันการชนกับเครื่องบิน กตัวอย่างหนึ่งคือ ท่าอากาศยานฮีทโธรว์ กรุงลอนดอน ที่จ้างเหยี่ยวฮาริส (Harris’s Hawk) ชื่อ “ไมโล” มาบินลาดตระเวนไล่นกนางนวลที่มักเข้ามาในน่านฟ้าสนามบินอยู่เป็นประจำ ซึ่งนกนักล่าเหล่านี้เพียงแค่ปรากฏตัวบินวนก็เพียงพอจะทำให้นกเล็กนกใหญ่แตกฝูงหนีไป เพราะสัญชาตญาณกลัวผู้ล่า นับเป็นวิธีที่หลายประเทศใช้นานหลายทศวรรษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การใช้สุนัข: นอกจากนกนักล่าแล้ว สุนัขที่ผ่านการฝึก ก็เป็นอีกสัตว์ที่ใช้ช่วยไล่นก โดยเฉพาะการไล่นกที่เกาะหรือหากินบนพื้นสนามหญ้า ตัวอย่างเช่นที่ สนามบินเชอร์รี แคปิตอล (Cherry Capital Airport) ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา มีสุนัขพันธุ์บอร์เดอร์คอลลี่ชื่อ “ไพเพอร์ (Piper)” ปฏิบัติหน้าที่วิ่งไล่นกน้ำ นกป่า รวมถึงสัตว์อื่น ๆ เช่น หมาจิ้งจอก ออกจากทางวิ่งและทางขับของสนามบิน เพื่อรักษาความปลอดภัยให้เที่ยวบิน​ สุนัขพันธุ์นี้ขึ้นชื่อเรื่องความว่องไวและนิสัยชอบต้อนฝูงสัตว์ ทำให้เหมาะกับงานดังกล่าวมาก โดยผู้ควบคุมจะสั่งสุนัขให้วิ่งไล่นกก่อนที่เครื่องบินจะขึ้นหรือลง

ข้อดี: การใช้ผู้ล่าตามธรรมชาติมีข้อดีสำคัญคือ นกเป้าหมายจะมีความกลัวโดยสัญชาตญาณ ทำให้การไล่นกได้ผลทันทีและนกจะจดจำว่าพื้นที่สนามบินมีนักล่าอยู่จริง ลดโอกาสที่นกจะกลับมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องใช้เสียงดังหรืออุปกรณ์กลไกซับซ้อน เช่น การใช้เหยี่ยวไล่นกถือเป็นวิธีที่ใกล้เคียงธรรมชาติและไม่ได้ทำร้ายนกในปริมาณมาก อีกทั้งนกนักล่ามีรัศมีการบินกว้าง ครอบคลุมพื้นที่มาก จึงสามารถลาดตระเวนได้ทั่วสนามบินอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสีย: ข้อเสียคือ ต้องใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญสูง การฝึกและดูแลนกเหยี่ยวหรือนกนักล่าอื่น ๆ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและค่าใช้จ่ายสูง นกนักล่าแต่ละตัวมีระยะเวลาการบินจำกัดและต้องการพัก จึงไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การใช้สุนัขไล่นกก็มีข้อจำกัด โดยจะได้ผลเฉพาะขณะสุนัขปฏิบัติงานเท่านั้น เมื่อสุนัขหยุดหรือออกจากพื้นที่ นกก็อาจย้อนกลับมา

อีกทั้งสุนัขสามารถไล่นกให้บินแตกฝูงไปทิศทางใดก็ได้ หากควบคุมไม่ดีอาจไล่นกให้บินตัดเส้นทางเครื่องบินแทนที่จะหนีออกนอกพื้นที่ ซึ่งสร้างความเสี่ยงได้เช่นกัน สำหรับนกนักล่าเอง แม้จะมีประสิทธิภาพ แต่บางครั้งอาจไม่ยอมเชื่อฟังผู้ควบคุมหรือหลงทางได้ ทำให้ต้องใช้นักบินเหยี่ยวที่มีประสบการณ์สูงมาควบคุม นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ต้องระวัง เช่น ที่สนามบินฮีทโธรว์เคยเกิดเหยี่ยวนักล่าถูกขโมยตัวไป ซึ่งเป็นความสูญเสียต่อการปฏิบัติงานและสัตว์เอง (แม้จะเป็นกรณีเฉพาะ) ดังนั้นโดยสรุป วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดในการดำเนินการ แต่ก็ถือว่าได้ผลดีในเชิงชีววิทยาธรรมชาติ

การใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีไล่นก

เทคโนโลยีสมัยใหม่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการขับไล่นกที่สนามบิน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ให้แสงหรือเลเซอร์ ไปจนถึง โดรน หรือ หุ่นยนต์เลียนแบบนักล่า ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไล่นกและลดการพึ่งพากำลังคน วิธีการเหล่านี้มักใช้ควบคู่กับวิธีอื่นเพื่อสร้างระบบป้องกันนกแบบผสมผสาน

เลเซอร์และอุปกรณ์แสง: เลเซอร์ เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่สนามบินบางแห่งนำมาใช้ไล่นก โดยอาศัยหลักการที่ว่าแสงเลเซอร์ความเข้มสูงและการเคลื่อนไหวของลำแสงจะทำให้นกตกใจคล้ายกับมีวัตถุเคลื่อนที่เข้าหา ในช่วงที่แสงสว่างน้อย (เช้าตรู่หรือพลบค่ำ) เลเซอร์สามารถได้ผลดีในการไล่นกที่เกาะอยู่ตามพื้นหรือบนสนามหญ้า ตัวอย่างเช่น ท่าอากาศยานแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ได้เริ่มใช้เครื่องเลเซอร์มือถือ (เช่น Aerolaser) ตั้งแต่ปี 2016 เพื่อขับไล่นก ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเขาใช้วิธีดั้งเดิมอย่างการยิงพลุเสียงดัง ปืนลูกซอง และลำโพงเสียง แต่พบว่าเลเซอร์ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าสำหรับนกบางชนิด โดยเฉพาะนกที่ชอบเกาะตามพื้นสนามหญ้า เซอร์สมัยใหม่มีระบบความปลอดภัยที่เรียกว่า Horizon Safety เพื่อป้องกันการเล็งลำแสงขึ้นฟ้าในมุมที่อาจรบกวนสายตานักบิน ทำให้การใช้เลเซอร์ในสนามบินได้รับอนุญาตอย่างปลอดภัยมากขึ้น ขณะเดียวกัน สนามบินชางงี ก็ผสานเทคโนโลยี เรดาร์ตรวจจับนก เข้ากับระบบ LRAD ที่กล่าวไป เพื่อให้สามารถตรวจรู้ตำแหน่งฝูงนกและยิงเสียงไล่อัตโนมัติได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นแนวโน้มใหม่ในการใช้เทคโนโลยีมาช่วยงานด้านนี้

โดรนและหุ่นยนต์ไล่นก: การใช้ โดรน (Drone) บังคับระยะไกลเพื่อไล่นกเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เริ่มได้รับความสนใจในต่างประเทศ โดรนอาจมีทั้งแบบที่ทำเสียงดังหรือยิงแสงไล่นก และแบบที่ออกแบบเลียนแบบนกนักล่าตัวจริง ซึ่งประเภทหลังนี้ได้รับความสนใจมาก เช่น หุ่นยนต์เหยี่ยว “RobotFalcon” ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีลักษณะและการบินเหมือนเหยี่ยวเพเรกริน (Peregrine Falcon) จริง ๆ หุ่นยนต์นี้ติดมอเตอร์ใบพัดไว้ที่ปีกและส่งเสียงออกมาได้ เพื่อหลอกให้นกคิดว่าเป็นนักล่าจริง การทดสอบภาคสนามพบว่า RobotFalcon สามารถไล่ฝูงนกให้แตกกระเจิงออกจากพื้นที่ทดลองได้หมดภายในเวลาเพียง 5 นาที ที่มันบินมาถึง และเมื่อลองทดสอบซ้ำกับฝูงนกเดิมหลายครั้งในช่วง 3 เดือน ก็พบว่านกยังคงตกใจกลัวทุกครั้ง โดยไม่เกิดการชินหรือรู้ทันว่าเป็นเหยี่ยวปลอม

ประสิทธิผลของหุ่นเหยี่ยวนี้ยืนยันได้จากผลทดลองดังกล่าว ซึ่งในการทดลองยังพบว่า RobotFalcon ไล่นกได้ผลดีกว่าโดรนธรรมดาๆ ที่ไม่มีรูปร่างเหมือนนักล่าอีกด้วย​

แม้เทคโนโลยีโดรนเหยี่ยวจะมีศักยภาพสูง แต่มันก็มี ข้อจำกัดทางเทคนิค ที่ต้องพิจารณา เช่น หุ่นยนต์ต้องบังคับด้วยผู้ควบคุมที่ชำนาญ (ยังไม่สามารถบินเองอัตโนมัติเต็มที่) ไม่สามารถบินในสภาพฝนตกหรือลมแรง และมีอายุแบตเตอรี่อยู่ได้ประมาณ 15 นาทีต่อการบินหนึ่งครั้ง เท่านั้น นอกจากนี้พบว่าหุ่นแบบนี้มีข้อจำกัดในการไล่นกขนาดใหญ่บางชนิด เช่น ห่านหรือนกกระสา ที่อาจไม่กลัวเหยี่ยวขนาดเล็กมากนัก​

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีหุ่นยนต์นักล่าถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วยแก้จุดอ่อนของการใช้นกนักล่าจริง (ไม่ต้องให้อาหาร พักผ่อน หรือเสี่ยงสูญหาย) แต่ยังคงให้ผลไล่นกที่ใกล้เคียงกัน

ข้อดี: การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีมีข้อดีคือ ความแม่นยำและความต่อเนื่องในการทำงาน อุปกรณ์อย่างเลเซอร์สามารถเล็งไล่นกได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าใกล้มาก และไม่มีเสียงดังรบกวน การใช้โดรนหรือหุ่นยนต์ช่วยให้เข้าถึงพื้นที่ที่คนหรือสัตว์เข้าไม่ถึง และสามารถปฏิบัติงานนอกเวลาทำการของนักล่าหรือสุนัขได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีสามารถรวมเข้ากับระบบตรวจจับอัตโนมัติ เช่น เรดาร์หรือเซ็นเซอร์ ทำให้เกิดระบบไล่นกอัตโนมัติที่ตอบสนองต่อสถานการณ์จริงได้อย่างรวดเร็ว เช่น เรดาร์ตรวจนกที่แจ้งเตือนและสั่งให้ LRAD หรือเลเซอร์ยิงทันทีเมื่อฝูงนกเข้ามาใกล้​อีกทั้งการใช้อุปกรณ์ไม่มีความเสี่ยงด้านสวัสดิภาพสัตว์เมื่อเทียบกับการใช้เหยี่ยวหรือสุนัข

ข้อเสีย: ข้อจำกัดของเทคโนโลยีคือ ค่าใช้จ่ายในการจัดหาและบำรุงรักษาสูง อุปกรณ์เฉพาะทางเช่น LRAD หรือระบบเลเซอร์มักมีราคาแพง และต้องมีการดูแลให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ นอกจากนี้บางเทคโนโลยีมีข้อจำกัด เช่น เลเซอร์จะได้ผลดีในที่มืดหรือแสงน้อย แต่มีประสิทธิภาพลดลงในเวลากลางวันที่แสงจ้า และอาจใช้ไล่นกได้ผลกับนกบางชนิดเท่านั้น (เนื่องจากพฤติกรรมตอบสนองต่อแสงแตกต่างกัน)​

ด้าน โดรน แม้มีประโยชน์แต่ก็อาจก่อความเสี่ยงใหม่ เช่น หากควบคุมไม่ดี โดรนอาจกลายเป็นวัตถุบินที่ก่ออันตรายต่อเครื่องบินเอง จึงต้องกำหนดเขตและเวลาการบินของโดรนอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้ชนกับอากาศยาน การใช้ระบบอัตโนมัติก็อาจมีโอกาสขัดข้องหรือผิดพลาด ดังนั้นมักยังต้องมีมนุษย์กำกับ นอกจากนี้ นกบางกลุ่มใหญ่หรือที่บินสูงมาก ๆ (เช่น ฝูงห่านขนาดใหญ่) อาจไม่หวั่นเกรงอุปกรณ์บางประเภทเท่าวิธีการธรรมชาติ ทำให้ยังคงต้องใช้หลายวิธีควบคู่กัน